พระครูสิริธรรมรัต
(หลวงปู่หล่ำ สิริธมฺโม)
ปฐมเจ้าอาวาสวัดสามัคคีธรรม แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
หลวงปู่หล่ำ มีนามเดิมว่า หล่ำ แซ่เจ็ง เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๗๒ ปีมะเส็ง ที่ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายจุ๊ยเตียง แซ่เจ็ง และนางปิ่น แซ่ซิ้ม เมื่ออายุได้ ๗ ปี โยมมารดาถึงแก่กรรม โยมบิดาจึงต้องพามาอยู่กับโยมตาโยมยาย เมื่ออายุเข้าเกณฑ์ศึกษา ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาลวัดแหลม ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ จนสำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จึงได้มาช่วยทางบ้านทำสวน ช่วงว่างจากงานสวน หลวงปู่หล่ำมักจะเข้าไปศึกษาอักขระขอมกับพระอาจารย์ฉัตร ผาสุโก วัดบางหญ้าแพรก ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้าของท่าน หลวงน้าฉัตรมีความรู้ทั้งอ่านและเขียนอักขระขอมอย่างแตกฉาน หลวงปู่หล่ำได้ฝากตัวและร่ำเรียนจนจบหลักสูตร เป็นที่พอใจของพระอาจารย์ฉัตรเป็นอย่างมาก
จวบจนเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ตรงกับวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๒ จึงเข้ารับการอุปสมบทที่วัดบางหญ้าแพรก จ.สมุรปราการโดยมีพระครูศิริศีลคุณ (พระราชวิริยาภรณ์) เจ้าคณะ จ.สมุทรปราการ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสถิตธรรมคุณ (หลวงพ่อเผย ฐานงฺกโร) เจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์ผ่อง (พระครูบวรสมุทรกิจ) เจ้าอาวาสวัดปุณหังสนาวาส เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายา "สิริธัมโม" เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหญ้าแพรกนั้นเอง เนื่องจากหลวงปู่หล่ำสนใจในเรื่องของคาถาอาคม และการปฏิบัติกรรมฐาน มาตั้งแต่ก่อนบวช ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษากรรมฐานกับอาจารย์อาบ สมสนิท (อาจารย์ฆราวาส) ในส่วนของการเรียนหลวงปู่สอบพระปริยัติธรรมได้นักธรรมตรี ในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ได้เรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อเผย ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่าน หลวงปู่ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ จากหลวงพ่อเผย ไม่ว่าจะเป็นตำรายา รักษาโรค อักขระเลขยันต์ ดูโชคชะตาราศี สะเดาะเคราะห์เสริมดวง ปลุกเสกทำเครื่องรางของขลัง
บวชแล้วออกพรรษา ท่านก็ออกธุดงค์ตั้งแต่พรรษาแรก ตามคำที่หลวงพ่อเผยบอกว่า การศึกษาสรรพวิชาต่างๆมากมาย หาเกิดประโยชน์ใดไม่ ควรที่จะนำไปฝึกปฏิบัติด้วย นั่นจึงเป็นเหตุให้ท่านออกธุดงค์วัตร ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อฝึกจิตเจริญภาวนา ระหว่างทางท่านได้เจอกับคณาจารย์มากมาย ตลอดจนฆราวาสที่เก่งๆ หลายท่าน และได้ขอเรียนวิชา เพื่อนำไปสงเคราะผู้คนต่อไป
ราวปี ๒๕๐๕ ท่านได้ไปจำพรรษาวัดพระไกรสีห์น้อย บางกะปิ เพื่อสงเคราะห์ญาติโยม จนเป็นที่รู้จักของคนเขตบางกะปิและลาดพร้าว ระหว่างนั้น ท่านได้ไปช่วยสร้างสำนักสงฆ์อีกหนึ่งที่ คือ สำนักสงฆ์คลองบางปิ้ง จ.สมุทรปราการ และได้มอบให้พระอาจารย์นา (ลำเจียก) เป็นผู้ดูแลจนสำเร็จเป็นวัด
ขณะที่อยู่ที่คลองบางปิ้ง หลวงปู่หล่ำได้ออกวัตถุมงคล คือรูปถ่ายเรียกกันว่า ฉากขาว ฉากดำ วัตถุมงคลที่หลวงปู่หล่ำสร้างนั้น ท่านจะตั้งใจทำโดยลงมือจารด้วยตัวท่านเอง ทำแจกในงานทอดผ้าป่า งานทอดกฐิน และงานไหว้ครู และวัตถุมงคลที่สร้างชื่ออีกหนึ่งอย่างก็คือ ปิดตาผสมเลือดของท่าน ออกในปี ๒๕๐๘ เป็นที่ต้องการของศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระที่ร่วมธุดงค์ในครั้งนั้น ได้กล่าวถึงมวลสารที่ได้ช่วยกันรวบรวมว่ามี เกสรดอกไม้ราว ๓๐๐ ชนิด และยังได้นำผงลบกระดาน มวลสารต่างๆ อีกหลายอย่าง
นำมาผสม ที่สำคัญที่สุดคือหลวงปู่หล่ำ ได้พลีเลือดในกายของท่าน เพื่อเป็นพุทธบูชา ประหนึ่งว่า ขอสละเลือดถวายพระศาสนา ผู้ที่มีพระปิดตานี้ จะเป็นที่เมตตาต่อศรัตรูหมู่มารทั้งหลาย
ต่อมาญาติโยมที่ลาดพร้าว ได้นิมนต์ท่านให้มาช่วยสร้างวัด และได้มีญาติโยมได้ถวายที่เพิ่มขึ้น และได้ขอเป็นวัด ในราวปี ๒๕๑๐ และขอพระราชทานวิสุงคามสีมา ในปี ๒๕๑๗ สร้างโบสถ์แล้วเสร็จในปี ๒๕๓๐ ชาวบ้านมักเรียกกันติดปากว่า วัดใหม่
ในช่วงสร้างวัดสามัคคีธรรม ได้มีลูกศิษย์ชาวสิงคโปร์ได้เจอปาฏิหาริย์และได้พากันมาเคารพศรัทธา มาฝึกกัมมัฏฐานกับหลวงปู่อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่เลื่องลือและได้นิมนต์หลวงปู่ หล่ำ ไปโปรดที่ประเทศสิงคโปร์ทุกปี ทำให้ลูกศิษย์ที่ศรัทธาตามมาช่วยสร้างวัด โรงเจ หรืองานบุญอื่นๆอีกมากมาย วัดสามัคคีธรรมจึงเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ
ถ้าจะย้อนไปในสมัยยังไม่เป็นวัดนั้น พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นทุ่งนาป่ากก มองจากสะพาน ๒ และโชคชัย4 จะเห็นวัดเด่นเป็นสง่า หมู่บ้านยังไม่หนาแน่น กลางวันท่านจะขึ้นมุงหลังคาบ้างตีฝ้าบ้าง ส่วนกลางคืนก็จะขุดดิน เพื่อถมที่ไว้สร้างกุฏิ แล้วต้องขุดบ่อน้ำไว้ใช้ ขุดลึกลงไปตั้งหลายเมตร ก็ยังไม่มีน้ำ ต้องรอหน้าฝนจึงจะได้น้ำฝนไว้ใช้
วัดสามัคคีธรรมนี้ หลวงปู่หล่ำท่านเป็นผู้สร้าง ด้วยสองมือของท่าน สละทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ทั้งขุดดิน ปีนหลังคาโบสถ์ ทำกุฏิ สร้างวิหาร ศาลาการเปรียญ และโรงเจ เสนาสนะอีกหลายอย่าง
หลวงปู่หล่ำไม่ได้สร้างเฉพาะแค่วัดสามัคคีธรรมนี้เท่านั้น ท่านยังช่วยสร้างวัดต่างๆ ทั้งที่สำเร็จแล้วและคอยสนับสนุนมาตลอด เช่น วัดคลองยายดำ วัดเทพนิมิต จังหวัดจันทบุรี วัดเขาแก้ว จังหวัดระยอง สำนักปฏิบัติธรรมพุทธภาวนา ปากช่อง นครราชสีมา และยังช่วยสนับสนุน ทั้งวัด โรงพยาบาล สถานศึกษา ตามที่ต่างๆ ที่มาขอความอนุเคราะห์
วัตถุมงคลที่ได้รับคำกล่าวขานจนติดปากว่า
ท้าวเวสศักดิ์สิทธิ์ ปิดตามีพลัง ตุ๊กแกโด่งดัง เชือกคาดสุดขลัง สมหวังแม่นางตุ๊กตากายสิทธิ์
จากคำกล่าวของหลวงปู่หล่ำที่ว่า ”ท่านมีเวลาทำกิจการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ และได้เสียเวลาเปล่าๆ โดยการนอน ไม่รู้ว่ามากมายเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จึงขอให้ญาติโยมและสาธุชนทั้งหลาย จงพึงคิดให้ดีว่า บัดนี้ตัวเราอายุเท่าไรแล้ว และนอนมาได้เท่าไรแล้ว เวลาที่ทำดี ทำชั่วก็เพียงครึ่งชาติเท่านั้นเอง เมื่อคิดได้แล้วจักทำประโยชน์ของส่วนตัวเรา และประโยชน์ส่วนรวม ทำไปได้เพียงไหน เราจะหลีกลี้หนีไปไหนไม่ให้เสียเวลานั้น ก็คงไม่ได้แน่ จึงให้รีบเร่งทำเสีย พยายามไหว้พระ สวดมนต์ เจริญภาวนาให้จิตสงบ ให้จิตพ้นจาก โลภ โกรธ หลง ให้จิตเป็นสมาธิ ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ทั้งปวงที่มากระทบจิตของเรา
เมื่อนั้นจิตของเราก็จะสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ ผ่องใส มีพลังอำนาจ สกัดกั้นสิ่งเลวร้ายทั้งปวง มนตร์บทสำคัญที่ท่านใช้ตลอดคือบท กะระณียะฯ และเมตตายะ ภิกขะเวฯ ขอให้เราท่องเราสวดให้ขึ้นใจเป็นประจำ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านเรือน ในป่า ในเขา ในถ้ำ ในวัด สวดได้ทั้งสิ้น สวดทุกวันจะเป็นมหากุศล ขอย้ำว่า ไม่มีอะไรสำคัญเท่าจิตใจของเรา ฉะนั้น จงฝึกจิตของเราให้มีพลังมีอำนาจ แล้วเราจะคิดจะทำอะไรก็จะสำเร็จทุกอย่าง ดังอาตมาพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว” คงเป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่าท่านมิได้ติดยึดในลาภ สรรเสริญ ท่านยังคงทำและบอกกล่าวกับลูกศิษย์ลูกหาเสมอถึงความไม่เที่ยง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การปฏิบัติให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษสุดแล้ว